topbankinfo.ruคริปโตเคอเรนซี่ ถือเป็นกลุ่มสินทรัพย์มาแรงที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมูลค่าตลาดของ Bitcoin (สกุลคริปโตที่มีชื่อเสียงที่สุดในปัจจุบัน) สูงถึง 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงกว่าบริษัท Facebook ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์เลยครับแต่การลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ ก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนที่นักลงทุนคาดการณ์ไม่ได้ครับ นักลงทุนอาจเสียเงินทุนทั้งหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ เราจึงควรบริหารความเสี่ยงด้วยการใช้สูตรความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) ที่จะสามารถกำหนดว่าเรารับความเสี่ยงในการลงทุนได้เท่าใด
ประโยชน์ของการคำนวณความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth)
ก่อนจะพูดถึงการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ เราขอพูดถึงประโยชน์พื้นฐานของการคำนวณ Net Worth ก่อนนะครับ การคำนวณ Net Worth จะทำให้เรารู้ว่าสภาพการเงินในปัจจุบันของเราเป็นเช่นไร และเราควรวางแผนอย่างไรเพื่อเป้าหมายในอนาคตของเราความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) คือ ขนาดของสินทรัพย์รวมของเรา หักออกด้วยหนี้สินรวมของเรา คิดได้เป็นสมการดังนี้ครับ
เราสามารถใช้สูตรนี้ทำบัญชีรายวัน เพื่อติดตามว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของเรามากน้อยแค่ไหน โดยในปัจจุบันเราสามารถสร้างตารางการเงินของเราได้ในโปรแกรมอย่าง Excel, Google Sheet หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันบัญชีบนโทรศัพท์ซึ่งจะทำให้เราอัปเดตการเงินของเราเป็นแบบดิจิทัล แอปเหล่านี้จะสามารถคำนวณเงินให้เราแบบอัตโนมัติได้เลยครับยกตัวอย่างเช่นนาย ก ต้องการจะทำบัญชีติดตามความมั่งคั่งสุทธิ เพื่อเก็บเงินในระยะยาว นาย ก ตัดสินใจว่าจะทำบัญชีโดยแบ่งตามไตรมาส นาย ก ทำไปได้แล้ว 2 ไตรมาส และมีตารางหน้าตาแบบนี้ครับ
ตารางแบบไตรมาสจะทำให้เรารู้ว่าความมั่งคั่งสุทธิของเราลดลงหรือมากขึ้นแค่ไหน และหากเราจัดแจงรายการอย่างละเอียด เราจะสามารถระบุเหตุผลที่ทำให้เงินเรามากขึ้นหรือลดลงอย่างในกรณีของ นาย ก สาเหตุที่ความมั่งคั่งสุทธิเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ก็เป็นเพราะกำไรจากการลงทุนคริปโตเคอเรนซี่ (กำไร 45,000 บาท) และหนี้สินอย่าง ค่าใช้จ่ายทางเครดิตการ์ด และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ลดลงนาย ก จะสามารถวางแผนสำหรับไตรมาสที่ 3 ได้ว่าถ้าหากตนต้องการเพิ่มความมั่งคั่งสุทธิขึ้นอีก ตนควรต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนไหน และเมื่อทำเช่นนี้ นาย ก จะสามารถเข้าใจว่าตนจะสามารถเก็บเงินในระยะยาวได้มากน้อยแค่ไหนครับนอกจากนั้นแล้ว การทำบัญชีในลักษณะนี้ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ในการลงทุนอีกด้วยครับ ผู้อ่านจะเห็นว่า นาย ก ลงทุนใน คริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล ที่มีความเสี่ยงสูงมาก จึงควรมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบด้วยกฎดังต่อไปนี้
ลงทุน Bitcoin แค่ 5%
เงินที่ลงทุนในตลาดคริปโต ควรเป็น 'เงินเย็น' หรือเงินที่เราไม่ได้รับผลกระทบมากหากเสียไป ปริมาณเงินเย็นของเราจะขึ้นอยู่กับว่าเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เพียร์ พาวเวอร์ขอแนะนำที่ 5% ซึ่งถือเป็นตัวเลขสำหรับการลงทุนที่เสี่ยงมาก แต่ตัวเลขนี้ก็สามารถปรับเปลี่ยนตามความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ครับ นาย ก จะมีค่าเงินเย็นอยู่ที่ 377,000 x 5% = 18,850 บาท ในไตรมาสแรก การลงทุนที่ 15,000 บาท ของนาย ก จึงถือเป็นการลงทุนคริปโตที่ถูกต้องตามกฎ 5%แต่ในไตรมาสที่ 2 นาย ก ได้กำไรจากตลาดคริปโตถึง 45,000 บาท คิดเป็น 300% จากเงินต้น ซึ่งทำให้นาย ก มีเงินลงทุนอยู่ในตลาดคริปโตเกิน 5% แม้จะมีโอกาสได้กำไรต่อในอนาคตสูง แต่ตลาดคริปโตก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง ดังนั้นถ้านาย ก ยังต้องการบริหารความเสี่ยงไว้ที่ 5% เช่นเดิม นาย ก ก็ควรถอนกำไรออกมาให้เหลือเงินลงทุนในตลาดคริปโตไม่เกิน 23,000 บาท (5% ของ 460,000 บาท)
ลงทุนคริปโตแบบ DCA
เราสามารถลงทุนในคริปโตด้วย การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar-Cost-Average ซึ่งเป็นการกระจายไม่ให้เราลงเงินทุนทั้งหมดภายในการลงทุนครั้งเดียว ในไตรมาสที่ 1 นาย ก แบ่งเงินทุน 15,000 บาทไปลงทุนในตลาดคริปโตเดือนละครั้ง เป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งจะช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาดตลอดระยะเวลาสามเดือนที่นาย ก ลงทุนการทำ DCA เหมาะกับตลาดคริปโต เนื่องจากราคาคริปโตผันผวนเสมอ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin เพิ่งร่วงจาก 59,463 ดอลลาร์ไปถึง 43,963 ดอลลาร์ คิดเป็น 26.1% ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากการที่ Elon Musk ทวิตโจมตี Bitcoin อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่นักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย การกระจายเงินทุนด้วย DCA จึงจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับเงินทุนของนักลงทุนครับนักลงทุนคำนึงถึงความเสี่ยงก่อนจะลงทุนเสมอ ในเดือนมีนาคม 2020 ราคา Bitcoin ร่วงจากระดับ 9,000 ดอลลาร์ไปที่ 4,000 ดอลลาร์ ลดลงกว่า 50% ภายในระยะเวลาเพียง 2 วัน หากเราไม่บริหารความเสี่ยง เงินทุนและแผนทางการเงินของเราก็อาจพังทลายลงได้ง่ายๆกระแสการลงทุนในตลาดคริปโตกำลังมาแรงมากในปีนี้ หลายคนทุ่มเงินจำนวนมากในสินทรัพย์ดังกล่าวเพื่อเก็งกำไร นอกจากกฎการลงทุน 5% และการลงทุนแบบ DCA การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกประเภทอื่น ก็เป็นวิธีการกระจายความเสี่ยงที่ดี เพียร์ พาวเวอร์ เป็นแพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิงที่นักลงทุนสามารถลงทุนเพื่อรับผลกำไรที่ 8-22% หากสนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่นี่