หุ้นกู้ ตราสารหนี้ (Bond) คืออะไร? มีอะไรบ้าง อยากลงทุนต้องทำยังไง
ในสภาวะที่เศรษฐกิจผันผวนจะลงทุนอะไรทีก็ต้องมาคิดหนักกลัวเงินจมเงินหาย แต่อย่างหนึ่งที่สามารถป้องกันไม่ให้คุณล้มละลายได้คือการจัดพอร์ตลงทุน กระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ
บทความนี้ PeerPower จะพูดถึง ตราสารหนี้ (Bond) ที่มีจุดแข็งอยู่ที่ความมั่นคง ความเสี่ยงน้อย ไม่ผันผวนรุนแรงตามสภาวะตลาด ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากทั่วไป เป็นตัวเลือกกระจายความเสี่ยงที่ดีและมีลักษณะคล้ายกับหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงของเรามาก จะมีอะไรบ้าง ตามไปอ่านกันได้เลย
สารบัญ
ตราสารหนี้และหุ้นกู้ มีกี่ประเภท ?
ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ประเมินยังไง แบบไหนน่าลงทุน?
ตราสารหนี้ หุ้นกู้ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าไหร่?
ตราสารหนี้และหุ้นกู้ ซื้อขายยังไง ?
ตราสารหนี้และหุ้นกู้ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ?
ตราสารหนี้ คือ สัญญากู้ยืมที่ทำระหว่าง “ผู้ออกตราสาร” และ “ผู้ถือตราสาร” โดยที่
ผู้ออกตราสาร = ลูกหนี้
ผู้ถือตราสาร = เจ้าหนี้
หน่วยงานที่ออกตราสารจะมีสถานะเป็นลูกหนี้ มาขอกู้เงินจากนักลงทุนผู้ถือตราสารมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ สัญญากู้ยืมนี้จะมีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอน (Maturity) ชัดเจน และเมื่อครบกำหนดเจ้าหนี้จะได้ผลตอบแทนเป็นเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามที่ระบุในสัญญา
ตราสารหนี้สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทมาก คือ
1. แบ่งตามประเภทผู้ออกตราสาร
โดยทั่วไปตราสารหนี้จะออกโดย 2 หน่วยงานหลัก ซึ่งคือ “รัฐบาล” และ “เอกชน”
- ตราสารหนี้รัฐ หรือ พันธบัตร (Goverment Bond) คือตราสารหนี้ที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ มีแยกย่อยหลายประเภท เช่น พันธบัตรรัฐ พันธบัตรออมทรัพย์ ตั๋วเงินคลัง ฯลฯ
- ตราสารหนี้เอกชน หรือ หุ้นกู้ (Corporate Bond) คือตราสารหนี้ที่ออกโดยเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้เพื่อเพิ่มทุนให้กับบริษัท ต้องการเงินไปหมุนเวียนบริหารจัดการต่าง ๆ
โดยทั่วไปแล้วตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล (พันธบัตรรัฐบาล) จะมีความปลอดภัยในด้านการชำระหนี้สูงกว่าหุ้นกู้เอกชน แต่ก็ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเช่นเดียวกัน
2. แบ่งตามการจ่ายดอกเบี้ย
ตราสารหนี้ เป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งองค์กรผู้ออกตราสารหนี้มักจ่ายให้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้น สามารถแบ่งได้เป็น
- จ่ายดอกเบี้ยประจำ คือ จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดแล้วตามระยะเวลาที่ตกลง เช่น จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน เป็นต้น โดยอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายอาจเป็น
1.1 อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate Bond) คือ ดอกเบี้ยเท่าเดิมตลอดอายุสัญญา ข้อดีคือเงินสม่ำเสมอ ข้อเสียคือดอกเบี้ยจะไม่เพิ่มขึ้น (Interest Rate Risk)
1.2 อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond) คือ ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อที่ขึ้นลงในช่วงเวลานั้น ๆ จึงมีช่วงของดอกเบี้ยถูก และดอกเบี้ยแพง
- จ่ายดอกเบี้ยทบต้น คือ จ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบอายุสัญญา นักลงทุนจะได้ดอกเบี้ยรวดเดียวพร้อมเงินต้น
- ไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero-Coupon Bond) คือ ตราสารที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยแต่ขายในราคาที่ต่ำกว่าปกติ นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างของราคาเต็มที่เพิ่มขึ้นจากวันซื้อ ตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้ A ราคาปกติอยู่ที่ 1,000 บาท นักลงทุนซื้อตราสารนี้ แบบ zero - coupon ในราคา 900 บาท เมื่อครบกำหนดอายุ 1 ปี นักลงทุนได้เงิน 1,000 บาท ส่วนต่าง 100 บาทถือเป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนได้
3. แบ่งตามการใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน
- ตราสารหนี้มีหลักประกัน (Secured Bond) องค์กรที่ออกตราสารหนี้จะมีการนำหลักทรัพย์มาค้ำประกันก่อนออกตราสาร กรณีที่ผู้ออกตราสารล้มละลาย หลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันจะถูกนำออกขายใช้หนี้ให้กับผู้ถือตราสาร
- ตราสารหนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Unsecured Bond) คือ หุ้นกู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ วางไว้เป็นประกัน กรณีที่ผู้ออกตราสารล้มละลาย สินทรัพย์ของผู้ออกตราสารจะถูกแบ่งเพื่อใช้หนี้ตามสิทธิและสัดส่วน
4. แบ่งตามระดับการเรียกร้องสิทธิ
รูปแบบนี้เกิดในกรณีที่ผู้ออกตราสารล้มละลาย ลูกหนี้จะจ่ายค่าชดใช้ให้ตามลำดับ hierachy ของตราสารที่นักลงทุนถือ ตามหลักแล้วนักลงทุนที่ถือตราสารหนี้มีหลักประกันจะได้รับค่าชดใช้ก่อน แล้วถัดไปจึงเป็น
- ตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Debt) ตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิจะเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ที่จะได้รับการชำระหนี้หลังจากบริษัทล้มละลายลง โดยมีสถานะเทียบเท่าเจ้าหนี้สามัญของบริษัทที่ออกตราสารหนี้
- ตราสารหนี้ด้อยสิทธิ (Junior Bond หรือ Subordinated Bond) ตราสารหนี้ด้อยสิทธิจะเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่ 3 ที่จะได้รับการชำระหนี้หลังจากบริษัทล้มละลายลง
ตามด้วยนักลงทุนที่ถือหุ้นบุริมสิทธิ และหุ้นสามัญ อ่านเพิ่มเติมจากสมาคมตราสารหนี้ไทย
5. แบ่งตามสิทธิที่แฝงมากับตราสาร
ข้อนี้เป็นเงื่อนไขพิเศษที่กำหนดมาพร้อมกับตราสาร แบ่งย่อยเป็น
- สิทธิผู้ออกไถ่ถอนก่อนกำหนด (Callable) คือ ผู้ออกตราสารสามารถจ่ายเงินได้ครบก่อนกำหนดเวลา นักลงทุนอาจเสียประโยชน์จากดอกเบี้ยที่หายไป ผู้ออกตราสารได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยถูกลง
- สิทธิผู้ถือไถ่ถอนก่อนกำหนด (Puttable) คือ ผู้ถือตราสารให้ผู้ออกตราสารไถ่ถอนก่อนเวลา กรณีมักเกิดขึ้นเมื่อผู้ถือตราสารเห็นว่าดอกเบี้ยมีแนวโน้มขึ้นสูง
- สิทธิการแปลงสภาพ (Convertible) คือ การแปลงสภาพหุ้นกู้เอกชนไปเป็นหุ้นกู้สามัญ โดยจะมีเงื่อนไขด้านต้นทุน และระยะเวลาที่สามารถทำได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน นักลงทุนจะแปลงสภาพตราสารหนี้เป็นหุ้นสามัญเพื่อทำกำไรจากการซื้อขาย (Capital Gain) ซึ่งเมื่อแปลงสภาพแล้วความเสี่ยงของหุ้นย่อมสูงกว่าตราสารหนี้
ถ้าจะอธิบายให้ง่าย ตราสารหนี้เหมือนกับการให้เพื่อนยืมเงิน ดังนั้นมันจึงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายคืน ความถี่ในการจ่าย อายุของหนี้ ฯลฯ
ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเพื่อนคนนี้น่าให้ยืมเงินควรพิจารณาจากอะไร? ระบบการจัดอันดับเครดิต (Credit Rating) จึงมีขึ้นเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ประเมิน “ความน่าเชื่อถือ” หน่วยงานที่ออกตราสารหนี้ ซึ่งการประเมินนี้จะส่งผลต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้
กรณีของหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยเอกชนจะจัดอันดับเรียงเกรด A - D จากมีความน่าเชื่อถือมาก - ไปน้อย อาจะแบ่งย่อยเป็น AAA หรือ BBB ได้อีก ซึ่งหุ้นกู้ที่มีความน่าเชื่อถือมากจะให้ผลตอบแทนน้อย ส่วนหุ้นกู้ที่ความน่าเชื่อถือน้อยจะให้ผลตอบแทนมาก ส่วนกรณีของตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล (พันธบัตรต่าง ๆ) ตราสารหนี้เหล่านี้จะไม่ถูกประเมิน เพราะออกโดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถืออยู่แล้วและมีอำนาจอยู่แล้ว
ปัจจุบันในไทยหน่วยงานที่ประเมินความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้มี 2 ที่ คือ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating) และ บริษัท ฟิทช์เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch Rating Thaland)
โดยเฉลี่ยแล้ว ตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ที่ออกโดยเอกชนจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2-5% ต่อปี ส่วนธนบัตรรัฐบาลจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.1% ต่อปี อาจมากหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจช่วงนั้น
ตราสารหนี้ซื้อขายผ่าน 2 ตลาดเหมือนสินทรัพย์ทางการเงินประเภทอื่น ๆ เหมือนหุ้นและกองทุนรวม แบ่งเป็น
ตลาดแรก
เป็นการซื้อขายตราสารหนี้ที่ออกครั้งแรก จากผู้ออกตราสารหนี้ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร หรือหุ้นกู้ โดยมีการกำหนดราคาโดยผู้ออกหุ้นกู้ หน่วยลงทุนเริ่มต้นที่ 50,000 บาท สำหรับพันธบัตร และ 100,000 บาท หรือ 100 หน่วย สำหรับหุ้นกู้ โดยซื้อผ่าน บลจ. ที่ธนาคารพาณิชย์
ตลาดรอง หรือ ตลาด BEX (Bond Electronics Exchange)
เป็นตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนตราสารหนี้โดยตรงระหว่างนักลงทุน ที่จะกำหนดราคากันเอง เป็นการซื้อขายนอกตลาด (Over The Counter) ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนการซื้อขายดังนี้
- เปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทหลักทรัพย์
- ซื้อขายผ่านมาร์เกตติ้ง ที่จะแนะนำราคาที่ควรเป็น และดำเนินการซื้อขายให้ภายในระบบ
- เมื่อจะขายมาร์เกตติ้งจะให้คำแนะนำด้านราคาที่เหมาะสม และปล่อยราคาขายออกไปในระบบ โดยระบบจะจับคู่ผู้ซื้อให้โดยอัตโนมัติ
- เมื่อได้ผู้ซื้อกับผู้ขายแล้วมาร์เกตติ้งจะแจ้งผู้ลงทุนว่ามีการซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว
- ผู้ซื้อต้องโอนเงิน ผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ตราสารหนี้ กระบวนการนี้จะใช้ระบบ T+2 คือจัดการภายใน 2 วันทำการ
- ระหว่างนี้กรรมสิทธิ์ในตราสารหนี้จะฝากไว้กับศูนย์รับฝากหลักทรัพย์(ประเทศไทย) (TDS)
แม้จะเป็นสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่ตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน อาจแบ่งได้ตามนี้
- ความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคา (Price Risk) ผลตอบแทนจากการขายที่ต้องการซื้อ
- ความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ (Reinvestment Risk) การขายตราสารหนึ่งทิ้งไปเพื่อซื้อตราสารใหม่ ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีกว่าตามที่คิด
- ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Credit Risk) บริษัทเกิดล้มละลาย หรือ หาเงินมาไถ่ถอนตราสารหนี้ไม่ได้ตามวันเวลาที่กำหนดไว้
- ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ตราสารหนี้เปลี่ยนผู้ถือหุ้นได้ด้วยการขายในตลาด BEX แต่ไม่ได้ง่ายเท่ากับหุ้น หรือ กองทุนรวม
- ความเสี่ยงจากสิทธิแฝงในตราสารหนี้ (Optional Embedded Risk) ทั้งจากผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนก่อน ผู้ถือมีสิทธิไถ่ถอนก่อน และจากการแปลงสภาพ
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์โดยภาครัฐ (Legal Risk) เช่น นโยบายการเงินการคลังต่างๆ ที่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย
- ความเสี่ยงจากการขาดความรู้ของนักลงทุน (Black Box Risk) ปัจจัยส่วนบุคคลที่แก้ไขได้ ด้วยการศึกษาข้อมูลให้แน่ใจก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในตราสารหนี้ถึงแม้จะความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตามการลงทุนในตราสารหนี้มักจะเป็นการลงทุนในระยะยาว ผู้ลงทุนต้องไม่กังวลเรื่องสภาพคล่องเพราะจะได้เงินต้นคืนก็ต่อเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน (บางตัวอาจยาวเป็น 10 ปี) นอกจากนั้นอัตราการลงทุนเริ่มต้นต่อหน่วยค่อนข้างสูง
ด้วยจุดด้อยที่กล่าวในข้างต้น สินทรัพย์อีกประเภทที่นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอเหมือนกันแต่ในระยะเวฃาที่น้อยกว่าคือ หุ้นกู้คราวด์ฟังดิงของ PeerPower โดยผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 11% ต่อปี เราเคยเขียนบล็อกเกี่ยวกับ หุ้นกู้คราวด์ฟันดิงสรุปข้อมูลทุกประเด็นสำหรับนักลงทุน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว