3 สิ่งที่ไม่ควรทำ ถ้าไม่อยากทำร้าย Credit Score
เจ้าของธุรกิจจะทราบดีว่า ใน 1 วัน มีหลายเรื่อง หลายปัญหาต้องจัดการ รวมไปถึงปัญหาด้านการเงิน คุณเคยถึงจุดที่ต้องตัดสินใจระหว่างจ่ายเงินเดือนพนักงาน กับชำระหนี้ที่กู้จากสถาบันการเงินหรือไม่?
เจ้าของธุรกิจที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้ว ส่วนใหญ่จะเลือกจ่ายเงินเดือนพนักงานตรงเวลา เพราะหลายคนก็คงไม่อยากให้พนักงานหมดขวัญกำลังใจ ซึ่งจะยิ่งส่งผลร้ายต่อธุรกิจอีกด้วย แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการจ่ายหนี้ช้า ไม่เพียงแต่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้ให้กู้เท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตของบริษัทอีกด้วยในบางเหตุการณ์คุณอาจจะต้องยอมทำ แม้คะแนนเครดิตของคุณจะได้รับผลเสียก็ตาม
สำหรับคนที่สงสัยว่า คะแนนเครดิตคืออะไร และสำคัญต่อเจ้าของธุรกิจอย่างไร? คะแนนเครดิต เป็นสิ่งที่ผู้ให้กู้ใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินผู้ขอสินเชื่อ ฉะนั้นการมีคะแนนเครดิตที่ดี ย่อมส่งผลดีต่อตัวคุณและธุรกิจของคุณ ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ใช้คำนวณคะแนนเครดิตก็คือ "รายงานข้อมูลเครดิตนิติบุคคล" โดยบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติได้ให้นิยามของ รายงานข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Credit Report) ไว้ว่า
เป็นรายงานซึ่งแสดงข้อมูลภาพรวมด้านสินเชื่อทุกประเภทของนิติบุคคล และบุคคลธรรมดาที่ขอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ ที่มีต่อสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัท ข้อมูลเครดิตเครดิตแห่งชาติ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน และสถาบันการเงินอื่นรายงานข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ จะประกอบด้วยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงผู้ขอสินเชื่อ และคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ เช่น ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนการจัดตั้งนิติบุคคล และรายละเอียดประวัติการขอ การได้รับอนุมัติสินเชื่อ และการชำระสินเชื่อประเภทต่างๆ ของนิติบุคคลนั้นทุกประเภท
หากคุณรู้แต่เนิ่นๆ ว่าสิ่งใดบ้างที่ทำแล้วจะส่งผลเสียกับคะแนนเครดิตของคุณ คุณก็จะรับมือกับสถานการณ์ในตัวอย่างได้ดีขึ้นในอนาคต มาดูกันว่าเหตุการณ์ใดบ้างที่จะทำให้ประวัติการเงินคุณเป็นลบ โดยที่คุณเองอาจไม่ได้ตั้งใจ
1. ไม่ตรวจสอบข้อผิดพลาดในรายงานเครดิตบูโร
หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในรายงานเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ ข้อมูลที่ผิดนี้สามารถส่งผลเสียค่อเครดิตสกอร์ของคุณได้ความผิดพลาดนี้สามารถเป็นสิ่งเล็กน้อย เช่น ตัวเลขรายได้ผิด หรือการระบุประเภทอุตสาหกรรมผิด ทำให้บริษัทคุณมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ เป็นต้นฉะนั้น คุณควรหมั่นตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏในรายงานเครดิตบูโรเพื่อความถูกต้องของข้อมูล เพราะถ้าหากพบข้อผิดพลาดคุณสามารถส่งคำขอแก้ไขได้ ทางที่ดี อย่ารอให้ถึงเวลาที่ต้องใช้รายงานเครดิตแล้วค่อยตรวจสอบเพราะคุณอาจมีความต้องการใช้เงินเร่งด่วน การแก้ไขข้อมูลกับบริษัทเครดิตแห่งชาติ ใช้เวลามากสุดถึง 30 วัน
2. ชำระเงินช้ากว่ากำหนด
เนื่องจากสถาบันการเงินเป็นสมาชิกของเครดิตบูโร และทำหน้าที่ส่งรายงานประวัติการชำระเงินให้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หากคุณได้ทำการกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจสำหรับประกอบกิจการ และผิดนัดชำระ ข้อมูลจะปรากฏในรายงานเครดิต ทำให้ความน่าเชื่อถือของบริษัทต่อสถาบันการเงินลดลง ในอนาคตหากคุณมีความต้องการขอสินเชื่อก้อนใหม่ โอกาสที่คุณจะได้รับอนุมัติอาจจะยากขึ้น เพราะธนาคารเห็นว่าคุณมีการผิดนัดชำระบ่อยครั้ง
3. พึ่งพาเครดิตส่วนตัวมากเกินไป
ในช่วงเริ่มธุรกิจใหม่ๆ อาจเป็นเรื่องปกติที่เจ้าของธุรกิจใช้บัตรเครดิตและบัญชีส่วนตัวในการดำเนินกิจการ แต่การใช้บัตรเครดิตส่วนตัวจนเต็มวงเงิน จะส่งผลเสียต่อเครดิตสกอร์ส่วนตัวของคุณ นอกจากนี้แล้ว การใช้บัญชีส่วนตัวมากเกินไป ทำให้ธุรกิจของคุณมีข้อมูลทางการเงินไม่เพียงพอต่อการสร้างเครดิต การที่ไม่สร้างเครดิตสำหรับธุรกิจเลย ส่งผลให้คะแนนเครดิตโดยรวมลดลงเช่นกัน เนื่องจากสถาบันการเงินนำทั้งเครดิตส่วนตัว (ผู้ถือหุ้นมากกว่า 20%) และเครดิตบริษัทมาใช้ในการคำนวณเครดิตสกอร์
เพียร์ พาวเวอร์ คือผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งระบบคราวด์ฟันดิงคือตัวกลางในการระดมทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ด้วยวิธีการออกหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ในขณะเดียวกันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่สามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจที่เสนอขายหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงในแพลตฟอร์มได้ สำหรับท่านใดที่สนใจ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่
______________________________________________________________________________________
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว