High-Yield Bond กับผลตอบแทน
ในสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างในปัจจุบัน นักลงทุนต่างหาสินทรัพย์ที่จะนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่จะไปลงทุนในหุ้นสามัญก็มีความผันผวนสูง ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ลงทุน และยังต้องมาลุ้นอีกว่าจะมีผู้เช่าไหม หรือการลงทุนในทองคำ ก็ไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดออกมาได้อีก แล้วถ้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลล่ะ? ความเสี่ยงต่ำก็จริง แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็น้อยเสียเหลือเกิน แล้วจะเหลืออะไรให้ลงทุนได้ละคราวนี้ แน่นอนครับ เมื่อมีความต้องการลงทุน ก็ยังมีกลุ่มคนที่ต้องการเงินทุนอยู่เช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นช่องทางให้เกิด ตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือ หุ้นกู้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถระดมทุน จากประชาชนได้ และยังมีผลตอบแทนที่น่าสนใจอย่างมาก วันนี้เพียร์ พาวเวอร์จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ High-Yield Bond ว่าตราสารหนี้ประเภทนี้ คือ อะไรครับ
High-Yield Bond คือ อะไร
High-Yield Bond คือ ตราสารหนี้ที่จ่ายผลตอบแทนในอัตราสูง นักลงทุนที่เห็นผลตอบแทนจากดอกเบี้ยของ High-Yield Bond อาจจะตาลุกวาวครับ แต่แน่นอน ผลตอบแทนที่สูงต้องมาคู่กับ ความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน เพราะ High-Yield Bond เป็นหุ้นกู้ที่ถูกจัดอันดับตราสารออกมาต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) ซึ่งครอบคลุมถึงหุ้นกู้ที่มีอันดับต่ำกว่า BBB- ลงไป และรวมถึงหุ้นกู้ที่ไม่ได้ถูกจัดอันดับตราสารด้วย ดังนั้น High-Yield Bond จึงต้องเสนอผลตอบแทนที่สูง เพื่อชดเชยกับความเสี่ยง จากการผิดนัดชำระหนี้นั่นเอง
ทำไมธุรกิจถึงออก High-Yield Bond
เหตุผลหลัก ที่ธุรกิจออกHigh-Yield Bond นั้น เพื่อการระดมทุน แม้จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงมาก แต่ก็ยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่า การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยส่วนใหญ่ธุรกิจที่ออกหุ้นกู้ดังกล่าว จะมีทั้งธุรกิจใหม่ ที่กระแสเงินสดยังไม่เสถียร เครดิตยังไม่ดี ทำให้ถูกจัดอันดับไม่สูงมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทที่ออก High-Yield Bond จะต้องมีผลประกอบการไม่ดีเสมอไป เพราะบางธุรกิจที่ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลให้ภายนอก ก็เลือกที่จะไม่จัดอันดับตราสาร รวมถึง ธุรกิจที่ต้องการเงินกู้ในปริมาณน้อย ก็เลือกที่จะออกหุ้นกู้โดยไม่ถูกจัดอันดับ เพื่อประหยัดต้นทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายเพื่อจัดอันดับตราสาร อาจไม่คุ้มกับการออกหุ้นกู้ และมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเมื่อออกหุ้นกู้เสียอีก
ความเสี่ยงในการลงทุน High-Yield Bond
ในสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างในปัจจุบัน นักลงทุนอาจมองว่า High-Yield Bond น่าสนใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามก่อนที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าว นักลงทุนควรจะศึกษา และทำความเข้าใจกับความเสี่ยงของสินทรัพย์ให้ดีเสียก่อนเมื่อลงทุนในหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ Default Risk หรือ ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะสะท้อนออกมาใน อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของหุ้นกู้ ยิ่งอันดับตราสารต่ำ ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้จะยิ่งสูง โดยเฉพาะHigh-Yield Bond ที่ถูกจัดอันดับตราสารไว้ในอันดับต่ำ นั่นแปลว่า มีความเสี่ยงสูงมากที่ บริษัทที่ออกหุ้นกู้จะไม่สามารถชำระเงินต้น แก่ผู้ที่ถือหุ้นกู้ได้อีกหนึ่งความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาคือ ความเสี่ยงทางตลาด (Interest Rate Risk หรือ Market Risk) หรือ ความเสี่ยงจากการผันผวนของดอกเบี้ย เพราะเมื่อตลาดซบเซา ดอกเบี้ยของหุ้นกู้จะสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อราคาหุ้นกู้ในทิศทางตรงกันข้าม โดยผลกระทบต่อ High-Yield Bond นั้นจะรุนแรงกว่า Investment Grade Bond อย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2008 เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุให้ตลาด High-Yield Bond นั้นได้รับผลกระทบสูญเสียมูลค่ามากกว่า 25% ของมูลค่าทั้งหมด (Source: Investopedia)ถึง High-Yield Bond จะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมาก แต่นักลงทุนควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น สัดส่วนหนี้สิน (D/E ratio) และผลประกอบการของบริษัท รวมไปถึง ควรศึกษาเกี่ยวกับผู้ให้บริการ และระบบในการออกหุ้นกู้ เช่น Funding Portal ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ นายทะเบียนหุ้นกู้ หรือ Servicer เป็นต้น เนื่องจากจะมีผลกระทบในภายหลังการออกหุ้นกู้ อย่าง ในช่วงรับชำระคืน High-Yield Bond ทั้งนี้จะมีบทความในครั้งต่อไปที่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องบทบาทของผู้ให้บริการเหล่านี้ครับอย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เราจะต้องพบเจอในการลงทุนทุกประเภท ไม่ว่าจะในเงินฝาก หุ้นสามัญ อนุพันธ์ ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงเฉพาะตัวของมัน อยู่ที่ว่าเราสามารถรับความเสี่ยงที่จะเจอได้หรือไม่ครับ
อะไรคือผลตอบแทน จากการลงทุนใน High-Yield Bond?
ผลตอบแทนของหุ้นกู้ ไม่ว่าจะแบบไหน Investment Grade หรือ High-Yield Bond สิ่งที่ได้เป็นผลตอบแทนกลับมา คือ ดอกเบี้ย ครับ ซึ่งจะมีการกำหนดชัดเจนว่า หุ้นกู้ตัวนี้จ่ายดอกเบี้ยเท่าไหร่ ? ระยะเวลาเท่าไหร่ ? งวดการจ่ายเป็นแบบไหน ? อาจจะจ่ายเป็นราย 6 เดือน หรือ ทุก ๆ ปี จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาของหุ้นกู้นั้น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่ระบุไว้ในสัญญา ทำให้ระหว่างที่ลงทุนผ่านหุ้นกู้ ทางนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็น กระแสเงินสดที่ต่อเนื่อง จากดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด อย่างสม่ำเสมอ ครับ
ผลตอบแทนในรูปแบบกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ มีความสำคัญยังไงกับนักลงทุน
ประโยชน์ของการมีผลตอบแทนที่เป็นเงินสดสม่ำเสมอ มีหลัก ๆ 3 ข้อครับ
1) สร้าง Passive income
การที่ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอจากการลงทุน ก็เหมือนกับเรามีรายได้โดยแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เหมือนให้เงินทำงานแทนเรา ลองคิดภาพง่ายๆตามนะครับ ว่า ถ้าเรามีเงินเย็น 5 ล้านบาท แล้วเราสามารถคัดเลือกหุ้นกู้จากบริษัทที่มีพื้นฐานของบริษัทดีทั้งผลประกอบการและสถานภาพทางการเงิน โดยผสมทั้งหุ้นกู้แบบ Investment Grade และ High-Yield Bond เข้าด้วยกัน แล้วหุ้นกู้ชุดนั้นที่เราลงทุนสามารถให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยให้กับเราได้ ประมาณปีละ 6% จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยถึงปีละ 300,000 บาท ซึ่งเฉลี่ยเดือนละ 25,000 บาท หากเป็นคนที่สามารถจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี หรือใช้ชีวิตด้วยเงินจำนวนเท่านี้อยู่แล้ว เท่ากับว่าสามารถดำรงชีวิตได้โดยแทบไม่ต้องทำงานกันเลยทีเดียว การลงทุนในหุ้นกู้จึงถือเป็น Passive income อย่างหนึ่งที่เราสามารถลงทุนได้ครับ
2) วางแผนการเงินง่ายขึ้น และสามารถนำไปเป็นเงินสำรองยามฉุกเฉินได้
การที่เรารู้ และสามารถคาดการณ์ได้ว่า เราจะได้รายรับจำนวนเท่าไร ในช่วงเวลาไหน จะทำให้เราสามารถบริหาร การใช้จ่ายเงินได้ดีขึ้น ว่าจะนำเงินก้อนดังกล่าว ไว้ใช้ ไว้ลงทุน หรือไว้ออม ในขณะเดียวกัน ยังสามารถนำมาเป็นเงินสำรอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพราะจากเหตุการณ์โรคระบาดที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นได้เลยว่า กระแสเงินสดมีความสำคัญเพียงใด การเกิดโรคระบาดดังกล่าว อาจทำให้เราขาดรายได้จากช่องทางหลัก แต่ผลตอบแทนที่เราได้รับจากหุ้นกู้ เราจะยังคงได้สม่ำเสมอตามเงื่อนไขที่กำหนด เราสามารถเก็บสะสมผลตอบแทนดังกล่าวเพื่อประคองตัวเองให้ดำรงชีวิต แม้จะทำได้ในระยะสั้นก็ตาม
3) มีเงินสดสำหรับการ Re-invest หรือ การนำเงินกลับมาลงทุน
ผลตอบแทนที่เป็นกระแสเงินสด ทำให้เรามีโอกาสนำเงินดังกล่าว กลับไปลงทุนใหม่ เพราะ หากมีกระแสเงินสดเข้ามา ในฐานะของนักลงทุน เราคงไม่เอาเงินนั้นใช้จ่ายทันที แต่จะนำเงินที่เราได้ไปต่อยอด เตรียมไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อไปสร้างผลตอบแทนต่อ เช่น เอาไปลงทุนในหุ้นตอนที่ตลาดตกลงมาหนักๆ เราจะได้ไม่ต้องมาเสียดายว่า “ตกรถ” เพราะไม่มีเงินสดสำหรับเข้าไปซื้อหุ้น ดังนั้นการมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างสม่ำเสมอนั้น ช่วยให้เราสามารถมีเงินสดพร้อมที่จะลงทุนได้ในทุก ๆ จังหวะของตลาดครับ
ในส่วนของหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงของ เพียร์ พาวเวอร์ นั้น เรามีความใกล้เคียงกับ High-Yield Bond ครับ โดย ผู้ออกหุ้นกู้ในแพลตฟอร์มของเรา จะเป็นธุรกิจที่ต้องการระดมทุน แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่อง จำนวนเงินกู้ที่ต้องการระดมทุน หลักทรัพย์ค้ำประกัน และค่าใช้จ่ายในการจัดอันดับตราสารหนี้ ทำให้การระดมทุนผ่านหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงตอบโจทย์ธุรกิจ มากกว่าการออกหุ้นกู้แบบ High-Yield Bond หรือ ขอสินเชื่อจากทางสถาบันการเงิน โดยก่อนที่บริษัทดังกล่าวจะสามารถออกหุ้นกู้ผ่านแพลตฟอร์มของ เพียร์ พาวเวอร์ได้นั้น จะถูกคัดกรอง และประเมินความเสี่ยง ก่อนที่จะสามารถเข้ามาเป็นผู้เสนอขายหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงในแพลตฟอร์มได้ครับอย่างไรก็ตาม หุ้นกู้คราวด์ฟันดิง ยังมีความแตกต่าง กับหุ้นกู้เอกชน ดังนี้1. งวดในการจ่ายดอกเบี้ย สำหรับหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงแล้ว เรามีหุ้นกู้ที่ชำระจ่าย ทั้งแบบรายเดือน และแบบรายไตรมาส ซึ่งจะจ่ายถี่กว่าหุ้นกู้โดยทั่วไป ที่งวดการจ่ายดอกเบี้ยจะมีตั้งแต่ ทุก 6 เดือน, 1 ปี หรือแม้กระทั่ง ไม่จ่ายดอกเบี้ย(Zero-Coupon) จนถึงกำหนดไถ่ถอนเลยก็มี2.ระยะเวลาของหุ้นกู้ หุ้นกู้โดยทั่วไป จะมีระยะเวลาหุ้นกู้ อาจอยู่ที่ 1-5 ปี แต่ระยะเวลาของหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง จะเริ่มต้นตั้งแต่ 6-24 เดือน ซึ่งการที่มีระยะเวลาสั้นกว่า ทำให้ หุ้นกู้คราวด์ฟันดิงมีสภาพคล่องที่ดีกว่าครับ3.ผลตอบแทนในแต่ละงวด ในส่วนของหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง จะมีการจ่ายผลตอบแทนคืนทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย ในแต่ละงวด ต่างจากหุ้นกู้ปกติจะจ่ายเพียงดอกเบี้ยอย่างเดียว และจะได้เงินต้นคืนเมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน ทำให้หุ้นกู้คราวด์ฟันดิงมี ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ หรือ Default Risk ต่ำกว่าหุ้นกู้ทั่วไปนั่นเองสุดท้ายนี้ การศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ลงทุน และตัดสินใจโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ครบถ้วนรอบด้าน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนให้กับทุกท่านได้เป็นอย่างดีครับ หากนักลงทุนท่านใด สนใจที่จะลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิง สามารถอ่านละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเป็นนักลงทุนของเพียร์ พาวเวอร์ได้จากลิงก์ด้านล่างเลยครับ
_______________________________________________________________________
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว