Digital Transformation
เปิดโอกาส 2 เท่าด้วยกลยุทธ์รอบด้านแบบ O2O
หากท่านอยากได้สินค้าสักชิ้นสิ่งแรกที่ท่านทำคืออะไรครับ? เชื่อว่าคำตอบในใจคนส่วนใหญ่คงเริ่มที่เข้าไปหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต เข้าแอปอีคอมเมิร์ซ หรือใช้ tablets เลื่อนดูหน้าฟีด Facebook ของแบรนด์นั้น ๆ ดูรีวิวหรือกดรับส่วนลดก่อนที่จะเริ่มสั่งซื้อทางออนไลน์แล้วไปรับสินค้าหน้าร้าน สังเกตได้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภคไปแล้ว น้อยมากที่การช้อปปิ้งยุคนี้จะจำกัดอยู่แค่ออนไลน์ หรือ ออฟไลน์เท่านั้น พิสูจน์ได้จากมูลค่าของอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสถิติที่บ่งชี้ว่าร้านค้าที่มีหน้าร้านจะทำให้เกิดการซื้อมากกว่าร้านค้าที่ขายผ่านทางออนไลน์อย่างเดียว การสร้างประสบการณ์ที่ลื่นไหลระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันครับ
Omnichannel คืออนาคตของการค้าปลีกในยุค mobile-first society
จากภาพการอธิบาย Customer Journey ด้านบนเราจะเห็นว่าลูกค้ามีการย้ายไปมาระหว่างโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ สูงมากไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือในระหว่างช่วงโควิด แต่ไม่ว่าจะย้ายไปทางไหนสิ่งที่แน่ชัดอย่างหนึ่งคือยุคนี้เริ่มเข้าสู่การเป็น Mobile-first Society ที่มือถือเข้ามามีบทบาทสำคัญ กลยุทธ์ที่การตลาดที่เชื่อมโยงทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่สามารถเข้าถึงช่องทางทั้งหมดที่ลูกค้าอยู่อย่าง Omnichannel จึงเป็นอนาคตสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ให้ตลาดค้าปลีก
Real-time, Personalization และ O2O Engagement คือสิ่งที่นักการตลาดไทยให้ความสำคัญ
กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีหลากวิธีและหลายช่องทาง แต่มี 3 รูปแบบที่ได้รับความสำคัญและมีการใช้มากเป็นอันดับต้น ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและในประเทศไทย ได้แก่
- Real-time marketing การตลาดแบบอาศัยกระแสสังคมหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลานั้นให้เกิดประโยชน์
- Personalized marketing หรือ การทำการตลาดส่วนบุคคล เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภครายบุคคลให้ได้มากที่สุด
- Offline to Online marketing หรือโอทูโอกลยุทธ์การผสานข้อดีระหว่างออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน
ซึ่งในวันนี้บทความของเพียร์ พาวเวอร์จะโฟกัสไปที่กลยุทธ์โอทูโอซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้ธุรกิจได้เข้าถึงลูกค้าแบบรอบด้านมากขึ้นค่ะ
Live commerce เป็นช่องทางยอดนิยมสำหรับนักช้อปออนไลน์ไทย ด้วยมูลค่าซื้อขายรายไตรมาสที่โตกว่า 300%
การใช้กลยุทธ์แบบ O2O สามารถทำได้หลายวิธี วิธีที่มาแรงจนกลายเป็นเทรนด์ในไทยคือ Live Commerce การไลฟ์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เข้ากับความชอบของคนไทยอย่างยิ่งจนมูลค่าการซื้อขายรายไตรมาสโตกว่า 300% ถือได้ว่าโตกว่ายอดเฉลี่ยในภูมิภาคเกือบเท่า พฤติกรรมของลูกค้าทั้งในภูมิภาคและในไทยที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือจากอดีตที่ผู้บริโภค”เข้ามาค้นหาสินค้า” ได้ถูกเปลี่ยนเป็น “สินค้าเข้าหาผู้บริโภคเอง” มากขึ้น ยืนยันได้จากผลการสำรวจผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่ามีเพียงแค่ 35% ที่ทำการเสิร์ชเพื่อค้นหาสินค้าและตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง ในขณะที่มีผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อสินค้า เพราะมีสินค้าและโฆษณาเข้ามาถึงตัวเขาเองสูงถึง 53% โดยช่องทางที่แบรนด์ต่างๆใช้เข้าหาลูกค้าชาวไทยมากที่สุด คือ Facebook และ Google Ads ตามมาด้วย Line Instagram และ Youtube ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า 40% นักช้อปออนไลน์คนไทย ซื้อสินค้าผ่าน Social Media ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนค่าเฉลี่ยที่มากที่สุดในโลก
O2O คือกลยุทธ์ที่นำจุดแข็งของออฟไลน์กับออนไลน์มารวมกัน
จากเทรนด์ต่าง ๆ ที่กล่าวไป ธุรกิจที่สามารถใช้ประสานข้อดีระหว่าง Online กับ Offline ได้ดีย่อมสามารถคว้าโอกาสในตลาดที่เปลี่ยนแปลงจนประสบความสำเร็จได้ อย่างกรณีของแบรนด์ดังอย่าง Pomelo ก็ได้นำกลยุทธ์นี้มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลักๆด้วยกัน ได้แก่
- ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้มุ่งลูกค้าเป็นศูนย์กลางและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีมากขึ้น วางตำแหน่งตนเองเป็นบริษัทที่ผสมระหว่างแฟชั่นกับเทคโนโลยี
- สร้าง momentum ของแบรนด์ผ่านการจ้าง KOL ทำ live streaming เช่น ร่วมมือกับ Tiktok ในการออกคอลเลคชั่นใหม่ดังรูปด้านบน
- เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคมากขึ้น เช่น ทำ Personalized marketing
จากการผสมผสานจุดแข็งของทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ดังกล่าว ทำให้ Pomelo มีมูลค่า GMV growth สูงถึง 7 เท่า เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
หลายท่านอาจจะเคมีข้อสงสัยว่า หากตลาดอีคอมเมิร์ซโตขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ ธุรกิจจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นออนไลน์หมดเลยหรือไม่ ทางเพียร์ พาวเวอร์มีความเห็นว่าร้านค้าแบบออฟไลน์จะยังคงอยู่ครับ แม้หน้าร้านจำนวนมากจะเปิดช่องทางออนไลน์มากขึ้นแต่ร้านค้าที่เริ่มจากแพลตฟอร์มออนไลน์เพียงอย่างเดียวก็เริ่มเปิดหน้าร้านแบบออฟไลน์เป็นของตนเองเพิ่มขึ้นเช่นกัน สิ่งที่หายไปมีเพียงเส้นแบ่งของออฟไลน์กับออนไลน์เท่านั้นครับ คือแต่ละธุรกิจอาจจะไม่ได้ให้บริการเพียงด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว ธุรกิจไหนสามารถสร้างประสบการณ์ระหว่างออฟไลน์กับออนไลน์ให้ลื่นไหลไร้รอยต่อมากที่สุดย่อมเป็นผู้ที่สามารถคว้าโอกาสในตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้ครับ
ในธุรกิจที่มาระดมทุนกับเพียร์ พาวเวอร์ ก็มีธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีผสมผสานกับธุรกิจหลักจนประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งสำหรับธุรกิจที่ระดมทุนอยู่บนแพลตฟอร์มเพียร์ พาวเวอร์นั้น เราได้รวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้ในหนังสือชี้ชวน (Prospectus) เพื่อให้ง่ายแก่นักลงทุนบนแพลตฟอร์มในการศึกษา และตัดสินใจลงทุนนั่นเอง