Peter Lynch ถือเป็นนักลงทุนระดับตำนาน ซึ่งแนวคิดการลงทุนของ Lynch เป็นแนวคิดการลงทุนที่นักลงทุนรายย่อยสามารถทำได้
- เขามีช่วงวัยเด็กที่ยากลำบาก แต่สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้จากการเก็บเกี่ยวความรู้เมื่อเป็นเด็กแบกถุงกอล์ฟ
- Lynch บริหารกองทุน Magellan Fund ให้เติบโตจาก 18 ล้านเหรียญ สู่ 14,000 ล้านเหรียญในเวลา 13 ปี และเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในประวัติศาสตร์
- การลงทุนแบบ Peter Lynch มี 2 แนวคิดสำคัญคือ “Invest in what you know” และ “tenbagger”
- ไม่มีการเปิดเผยว่าในปัจจุบัน Peter Lynch มีสินทรัพย์เท่าไหร่ แต่เขามีรายได้จากหลายทาง เช่นมูลนิธิ กองทุน และอื่นๆ
Peter Lynch หนึ่งตำนานการลงทุนที่ยังมีลมหายใจ
ถ้าพูดถึงนักลงทุนที่ได้รับการยกย่องในระดับเป็นตำนาน ต้องมีชื่อ Peter Lynch เป็นชื่อแรกๆ สำหรับหลายๆ คน ด้วยความสามารถในการบริหารกองทุนและแนวคิดในการลงทุนที่อธิบายให้นักลงทุนรายย่อยเข้าใจได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงทำให้ Peter Lynch เป็นไอดอลสำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนในหุ้น
ชีวิตที่เริ่มต้นไม่ง่าย
เรื่องราวของ Peter Lynch อาจจะคล้ายกับนักลงทุนอีกหลายคน คือไม่ได้เติบโตมาด้วยความพร้อม เขาเกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 1944 ในเมืองนิวตัน รัฐแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐอเมริกา และกำพร้าพ่อเมื่ออายุได้เพียง 10 ขวบ เขาจึงเติบโตมากับแม่ที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว
Lynch ได้ทุนเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่ Boston College พร้อมๆ กับทำงานพิเศษเป็นเด็กแบกถุงกอล์ฟหรือแคดดี้ในสนามกอล์ฟ Brae Burn Country Club ด้วยอัตราค่าจ้างเดือนละ 300 เหรียญ ถือเป็นโชคดีที่หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของ Lynch คือ D. George Sullivan ประธานบริษัท Fidelity Investment ซึ่งเป็นคนที่สอนให้เขารู้จักพื้นฐานการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ควบคู่ไปกับการศึกษาประวัติศาสตร์ จิตวิทยา และปรัชญาที่เขาได้จากมหาวิทยาลัย
ปี 1966 เขาเข้าฝึกงานที่ Fidelity Investment ในตำแหน่ง Business Analyst ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้ทำความรู้จักเชิงลึกกับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กระดาษ เคมีภัณฑ์ และธุรกิจการพิมพ์ ก่อนจะไปเกณฑ์ทหาร 2 ปี และกลับมาเป็นพนักงานประจำอีกครั้งในปี 1969 อีก 5 ปีต่อมาจากผลงานในการวิเคราะห์ธุรกิจด้านสิ่งทอ เหล้ก เหมืองแร่ และอุตสาหกรรมเคมี ทำให้ Lynch ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Director of Research และอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวนาน 3 ปี ก่อนจะได้ทำงานที่ทำให้เขากลายเป็นตำนาน คือผู้จัดการกองทุน Magellan Fund
Lynch เริ่มงานผู้จัดการกองทุน Magellan Fund ในปี 1977 ขณะนั้นกองทุนดังกล่าวมีมูลค่ารวม 18 ล้านเหรียญสหรัฐ Lynch ใช้เวลา 13 ปีในการบริหารกองทุนให้งอกเงย จาก 18 ล้านเหรียญ สู่ 14,000 ล้านเหรียญ พร้อมผลตอบแทน 29.2% ต่อปี ถือเป็นกองทุนที่ทำกำไรมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่เขาจะลาออกเพื่อเป็นนักลงทุน และประธานกรรมการพาร์ทไทม์ให้กับทีมวิเคราะห์ของ Fidelity Investment
ไม่มีการเปิดเผยว่าเขามีสินทรัพย์มูลค่าเท่าไรในปัจจุบัน แต่จากประวัติการลงทุนของ Lynch เราจะพบว่าเขาลงทุนในหุ้นหลายอุตสาหกรรม และเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตดี โดย Lynch จะเลือกลงทุนโดยพิจารณาจากหุ้นบริษัทขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตมากกว่าหุ้นบริษัทใหญ่ที่เติบโตสูงสุดแล้ว เพื่อให้การลงทุนในหุ้นนั้นกลายเป็นหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรในอนาคต
จากผลงานการลงทุนและหนังสือที่มีชื่อเวียงของเขา ทำให้ Lynch ได้รับเหรียญประกาศเกียรติคุณ ในเนื้อหาทางการเงินจาก tenbagger และถือเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ยังไม่มีใครโค่นได้
Peter Lynch กับการลงทุนในสิ่งที่คุณรู้
แม้จะประสบความสำเร็จจากการเป็นผู้จัดการกองทุน แต่ Lynch กลับแนะนำนักลงทุนรายย่อยให้ลงทุนในหุ้นมากกว่า เพราะเป็นการมองเห็นการเติบโตของสินทรัพย์แบบวันต่อวัน โดยหุ้นที่ดี หรือมีอัตราการเติบโตหลายครั้งในแบบของ Lynch เรียกว่า tenbagger ซึ่งจะพิจารณาจากอัตราการเติบโตของหุ้นในระยะเริ่มแรกมากกว่าผลกำไรรวม เขาชอบค่า EPR (Earning Per Ratio) มากกว่าค่า EPS (Earning Per Share) เพราะมันแสดงให้เห็นว่าบริษัทที่กำลังพิจารณาเพื่อลงทุนนั้น มีศักยภาพเหนือกว่าคู่แข่งหรือไม่ ในอัตราเท่าไรบ้าง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในหนังสือเล่มแรกของเขาที่เขียนร่วมกับ John Rothchild ในชื่อ Once upon the wall street ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้าใจการลงทุนในหุ้นมากขึ้น
ด้วยประสบการณ์ของเขาเอง Lynch พบว่าการตัดสินใจลงทุนของเขาส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในที่ทำงาน มันเกิดขึ้นระหว่างขับรถ ออกไปข้างนอกกับครอบครัว หรือซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต คำแนะนำในการเลือกลงทุนในหุ้นของเขาจึงเป็นการเลือกบนพื้นฐานของบุคคลทั่วไปมากกว่าการเลือกแบบนักลงทุนมืออาชีพ คือเลือกสิ่งแตะต้องสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน เพราะเขาเชื่อว่าหากเลือกจากสิ่งที่รู้จักดี ก็จะทำให้โอกาสในการคาดคะเนการลงทุนผิดพลาดน้อยกว่าลงทุนในสิ่งที่ไม่มีความรู้
การลงทุนเพื่อผลตอบแทนแบบ tenbagger
แนวคิดการลงทุนที่สำคัญและเป็นที่ใฝ่ฝันของนักลงทุนจำนวนมากอีกรูปแบบหนึ่งของ Lynch คือการลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้หลายครั้ง หรือที่เรียกว่า tenbagger ซึ่งเป็นกลยุทธ์แบบเดียวกับการเล่นเบสบอล ที่ผู้เล่นจะต้องมีโอกาสในการตีโฮมรันได้ 3 ครั้ง ตลอดการแข่งขัน โดยเริ่มต้นจาก bagger ที่ 4 ซึ่งหมายความว่าหุ้นที่เขาจะเลือกนั้น ต้องมีโอกาสทำกำไร 300% เสมอ
ฟังดูน่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายคำถามตามมา ว่าหุ้นที่ดีแบบนั้นใครก็อยากได้ แต่จะไปหามันมาจากที่ไหน
การลงทุนเพื่อให้ได้ tenbagger แบบ Lynch จะเริ่มจากการพิจารณาหุ้นจากค่า Ratio มากกว่าค่า EPS ในช่วง 5 ปี เพราะเชื่อว่าค่า EPS มีความไม่เสถียร และไม่ใช่มูลค่าจริง รวมทั้งไม่สามารถบอกอัตราการเติบโตที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นได้ แต่ค่าการเติบโตต่างหากที่บอกศักยภาพของธุรกิจ โดยเขาจะมองหาหุ้นที่มีมีอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่า 50% ของค่าเฉลี่ยในตลาด
หุ้นที่มีโอกาสเติบโตเป็น tenbagger ของ Lynch จะต้องเป็นหุ้นที่เติบโตดี แต่มีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าจริง ซึ่งมักพบได้จากธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นมากกว่าธุรกิจที่เติบโตเต็มที่แล้ว
เลือกหุ้นที่เป็น tenbagger จากองค์ประกอบใดบ้าง
การเลือกหุ้นเพื่อลงทุนของ Peter Lynch มีปัจจัยในการเลือกไม่ต่างจากการเลือกหุ้นของนักลงทุนคนอื่นมากนัก คือพิจารณาจาก 3 ปัจจัย จากผลกระทบพื้นฐาน มูลค่าองค์กร และการบริหารจัดการภายในองค์กร แต่วิธีการในการเลือกมีรายละเอียดที่ต่างออกไป คือ
ผลกระทบพื้นฐาน ตามที่ได้บอกไปแล้วว่า Peter Lynch เลือกลงทุนจากอัตราการเติบโต โดยวิธีลงทุนของเขาจะเลือกจากหุ้นที่มี Earning Ratio ต่ำกว่า 50% ของค่าเฉลี่ย เช่นเดียวกับค่า High EPS ซึ่งบริษัทใหญ่ที่เป็นที่รู้จักแล้ว มักจะเติบโตได้อีกไม่มากในเศรษฐกิจเดียวกัน โอกาสที่หุ้นนั้นจะเติบโตเป็น tenbagger ก็จะน้อยลง
มูลค่าของบริษัท หุ้นในอุดมคติของนักลงทุนทุกคนคือราคาในการเทรดต่ำ คนรู้จักน้อย แต่มูลค่ามีโอกาสในการเติบโตสูง ในทางกลับกันถ้าหุ้นที่นักลงทุนซื้อมามีมูลค่าสูงอยู่แล้วโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงแบบก้าวกระโดดเป็นไปได้น้อยมาก
เป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการดี ข้อสำคัญของหุ้นแบบ tenbagger คือโอกาสในการเติบโต การบริหารจัดการบริษัทจึงมีความสำคัญ ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านการจัดการด้านกฎหมาย ภาษีที่จ่าย คู่แข่งและการมองเห็นโอกาสในธุรกิจ
Peter Lynch หาหุ้น tenbagger ได้จากอะไร
บริษัทเกิดใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นมีมากมาย แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว การลงทุนบางครั้งก็ต้องเลือกว่าจะลงทุนในธุรกิจประเภทใดดี ซึ่งบริษัทที่ Lynch ให้ความสนใจ มักอยู่ในกลุ่มธุรกิจต่อไปนี้
สินค้าเทคโนโลยี เป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำเงินได้ก้อนใหญ่เสมอ ในการเลือกหุ้นในกลุ่มนี้จะปลอดภัยกว่า ถ้าเลือกเป็นสินค้าที่คนนิยมใช้เป็นวงกว้าง
เลือกจากเทรนด์ คนยิ่งนิยม การเติบโตยิ่งเป็นไปได้ในระยะยาว
เลือกจากนโยบายของรัฐบาลในประเทศ แม้ตลาดจะดี แต่ถ้าติดขัดด้วยกฎหมายก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก
เลือกจากผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เติมเต็มความต้องการในตลาด ณ ขณะนั้น
เลือกจากสิ่งที่นักลงทุนจะสนใจ แม้จะบอกว่าหุ้นที่ดี เป็นหุ้นที่คนไม่ค่อยรู้ว่าดี แต่ความสนใจของคนจำนวนมากก็สามารถขับเคลื่อนตลาดให้เติบโตได้
การลงทุนแบบ Lynch นั้นคือการลงทุนในตำนาน ซึ่งหมายความว่าแนวคิดดังกล่าว เป็นแนวคิดที่นานมาแล้ว แต่หลายอย่างก้ยังนำมาใช้ในการพิจารณาลงทุนได้ เขาจะไม่เชื่อเรื่อง Market Timing เพราะเชื่อว่าหุ้นที่มีพื้นฐานดีและมูลค่าจริงที่เติบโตได้จะทำกำไรได้ในระยะยาวและสม่ำเสมอ การถือหุ้นแบบ tenbagger ของเขาจึงเป็นการถือหุ้นแบบค่อยๆ เติบโตไปกับธุรกิจที่ลงทุน มากกว่าถือครองไม่ถึงปีแล้วปล่อยไป
Ref: Betting on the Market | Tenbagger | What is a Ten Bagger?
_______________________________________________________________________
คำเตือน : การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงผ่านเพียร์ พาวเวอร์ เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอทั้งด้านความเสี่ยง และความสามารถในการตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของหลักทรัพย์และความเสี่ยงในการสูญเสียเงินจากการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้คราวด์ฟันดิงเป็นการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน นักลงทุนจะสามารถเริ่มลงทุนได้ต่อก็ต่อเมื่อนักลงทุนทำการลงทะเบียนและผ่านแบบประเมินความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว